BUS 6011 การจัดการและพฤติกรรมองค์การ
Management and Organizational Behavior
บทที่ 12 ภาวะผู้นำ (Leadership)
บรรยาย โดย อ.ผุดผ่อง
ภาวะผู้นำ (Leadership) หมายถึง ความสามารถที่ในการอิทธิพลเหนือผู้อื่นและจูงใจให้ผู้อื่นปฏิบัติตามและทำงานให้บรรลุเป้าหมายขององค์การ ภาวะผู้นำเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจหน้าที่ที่จะกำหนดหรือชักจูงให้กลุ่มสมาชิกในองค์การทำงานตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และการมีอิทธิพลต่อกลุ่มต่างๆในองค์การ
ผู้นำ(Leader) หมายถึง บุคคลที่มีอำนาจ หรือ ความสามารถในการจูงใจคนให้ปฏิิบัติงานที่จะทำให้องค์การดำเนินไปอย่างก้าวหน้าและบรรลุเป้าหมาย
ทฤษฎีเกี่ยวกับผู้นำ
1).) ทฤษฎีบุคลิกภาพ มีหลักการดังนี้
1.1 ผู้นำที่ประสบความสำเร็จ : มีความซื้อสัตย์ กล้าหาญ ยุติธรรม มีความรอบรู้ มีความสามารถในการรับรู้และสามารถมอบหมายงานให้ผู้อื่นทำ มอบหมายงานเป็น
1.2 ผู้นำที่ไม่ประสบผลสำเร็จ : มีลักษณะตรงข้ามกับผู้นำที่ประสบความสำเร็จ ไม่มีหลักที่จะแยกลักษณะได้อย่างแท้จริง
2.1 ผู้นำแบบเผด็จการทรราชย์ : มีลักษณะ เคร่งครัด ถือยศ เห็นแก่ตัว ยึดข้อสมมุติฐานเกี่ยวกับคนตามทฤษฎี X คือ มีการลงโทษ ชอบการบังคับ ข่มขู่ และการควบคุมการปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิด ผู้นำจะตัดสินใจเอง การติดต่อสื่อสารจะเป็นแบบแนวดิ่ง จากบนลงล่าง
- ทำให้สมาชิกในกลุ่มขาดความสามัคคี เอาตัวรอด เห็นแก่ตัวและก้าวร้าว
2.2 ผู้นำแบบเผด็จการอย่างมีศิลป์ ผู้นำเป็นผู้ตัดสินใจ แต่ยังเห็นความสำคัญของผู้ตาม โดยให้แสดงความคิดเห็นและร้องเรียนได้
- ความสัมพันธ์ระหว่างระดับในองค์กรเป็นไปอย่างเป็นทางการ และสนับสนุนให้มีการสื่อสารในแนวตั้ง (จากล่างขึ้นบน) แต่การที่ผู้นำตัดสินปัญหาต่าง ๆ ด้วยตัวเอง ทำให้ผู้ตามขาดความคิดริเริ่ม และขาดความรับผิดชอบใงานที่ได้รับมอบหมาย
2.3 ผู้นำแบบปรึกษาหารือ เป็นผู้นำที่มีเหตุผล รับฟังความคิดเห็น และเปิดโอกาสให้ลูกน้องมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ แต่ให้ความสำคัญกับผู้ที่อยู่ในระดับสูงมากกว่า การติดต่อสื่อสารเป็นแบบ 2 ทาง คือ จากบนลงล่าง และ จากล่างขึ้นบน
2.4 ผู้นำแบบมี่ส่วนร่วม มีเหตุล ยึดข้อสมมติฐานเกี่ยวกับคนตามทฤษฎี Y เปิดโอกาสให้ลูกน้องมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นต่า ๆ ในการแก้ไขปัญหาและร่วมกำหนดเป้าหมาย
- ทำให้ลูกน้องกระตือรือร้น อิสระ มีความมั่นคง และรับผิดชอบงานดี
- การติดต่อสื่อสาร เป็นแบบทุกทิศทุกทาง พนักงานติดต่อสื่อสารกันได้อย่างเสรี
2.5 ผู้นำแบบเสรีนิยม ให้อิสระและไม่สนใจลูกน้อง พูดคุยและร่วมงานกับลูกน้องน้อย จะแสดงตนเมื่องานที่ได้รับมอบหมายสำเร็จ แต่ถ้ามีปัญหาจะโทษว่าเป็นความผิดของลูกน้อง
ตารางสรุป ทฤษฎีแบบฉบับ ;
- ความสัมพันธ์ระหว่างระดับในองค์กรเป็นไปอย่างเป็นทางการ และสนับสนุนให้มีการสื่อสารในแนวตั้ง (จากล่างขึ้นบน) แต่การที่ผู้นำตัดสินปัญหาต่าง ๆ ด้วยตัวเอง ทำให้ผู้ตามขาดความคิดริเริ่ม และขาดความรับผิดชอบใงานที่ได้รับมอบหมาย
2.3 ผู้นำแบบปรึกษาหารือ เป็นผู้นำที่มีเหตุผล รับฟังความคิดเห็น และเปิดโอกาสให้ลูกน้องมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ แต่ให้ความสำคัญกับผู้ที่อยู่ในระดับสูงมากกว่า การติดต่อสื่อสารเป็นแบบ 2 ทาง คือ จากบนลงล่าง และ จากล่างขึ้นบน
2.4 ผู้นำแบบมี่ส่วนร่วม มีเหตุล ยึดข้อสมมติฐานเกี่ยวกับคนตามทฤษฎี Y เปิดโอกาสให้ลูกน้องมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นต่า ๆ ในการแก้ไขปัญหาและร่วมกำหนดเป้าหมาย
- ทำให้ลูกน้องกระตือรือร้น อิสระ มีความมั่นคง และรับผิดชอบงานดี
- การติดต่อสื่อสาร เป็นแบบทุกทิศทุกทาง พนักงานติดต่อสื่อสารกันได้อย่างเสรี
2.5 ผู้นำแบบเสรีนิยม ให้อิสระและไม่สนใจลูกน้อง พูดคุยและร่วมงานกับลูกน้องน้อย จะแสดงตนเมื่องานที่ได้รับมอบหมายสำเร็จ แต่ถ้ามีปัญหาจะโทษว่าเป็นความผิดของลูกน้อง
ตารางสรุป ทฤษฎีแบบฉบับ ;
ทฤษฎีแบบฉบับ
|
2.1 ผู้นำแบบเผด็จการทรราชย์
|
2.2 ผู้นำแบบเผด็จการอย่างมีศิลป์
|
2.3 ผู้นำแบบปรึกษาหารือ
|
2.4 ผู้นำแบบมี่ส่วนร่วม
|
2.5 ผู้นำแบบเสรีนิยม
|
ลักษณะ
|
เคร่งครัด ถือยศ เห็นแก่ตัว ยึดข้อสมมุติฐานเกี่ยวกับคนตามทฤษฎี X คือ
มีการลงโทษ ชอบการบังคับ ข่มขู่ และการควบคุมการปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิด
|
เป็นผู้นำที่มีเหตุผล รับฟังความคิดเห็น
|
มีเหตุผล ยึดข้อสมมติฐานเกี่ยวกับคนตามทฤษฎี Y
|
ให้อิสระและไม่สนใจลูกน้อง พูดคุยและร่วมงานกับลูกน้องน้อย
จะแสดงตนเมื่องานที่ได้รับมอบหมายสำเร็จ
แต่ถ้ามีปัญหาจะโทษว่าเป็นความผิดของลูกน้อง
|
|
การตัดสินใจ
|
ผู้นำตัดสินใจเอง
|
ผู้นำตัดสินใจเอง แต่ลูกน้องออกความเห็นได้
|
เปิดโอกาสให้ลูกน้องมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
แต่ให้ความสำคัญกับผู้ที่อยู่ในระดับสูงมากกว่า
|
ให้ลูกน้องมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นต่า ๆ
ในการแก้ไขปัญหาและร่วมกำหนดเป้าหมาย
|
ให้อิสระแก่ลูกน้องในการตัดสินใจ
|
การติดต่อสื่อสาร
|
แนวดิ่ง (จากบนลงล่าง)
|
แนวตั้ง (จากล่างขึ้นบน)
|
เป็นแบบ 2 ทาง คือ จากบนลงล่าง และ จากล่างขึ้นบน
|
เป็นแบบทุกทิศทุกทาง พนักงานติดต่อสื่อสารกันได้อย่างเสรี
|
|
ผล
|
ทำให้สมาชิกในกลุ่มขาดความสามัคคี เอาตัวรอด เห็นแก่ตัวและก้าวร้าว
|
ความสัมพันธ์ระหว่างระดับในองค์กรเป็นไปอย่างเป็นทางการ
ลูกน้อง ขาดความคิดริเริ่ม และขาดความรับผิดชอบใงานที่ได้รับมอบหมาย
|
ทำให้ลูกน้องกระตือรือร้น อิสระ มีความมั่นคง และรับผิดชอบงานดี
|
- ลูกน้องมีความกังวลใจสูง
- ขาดความมั่นคง
- ผลงานมีคุณภาพต่ำ
|
พฤติกรรมของผู้นำตามแบบฉบับมี 2 ลักษณะ
1. ผู้นำที่มุ่งงาน :
- ระเบียบวิธีการปฏิบัติ และวิธีการสื่อสาร มุ่งความสำเร็จตามเป้าหมาย
- เน้นทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมาย โดยเน้นความสัมพันธ์ของหัวหน้าและลูกน้อง
- เหมาะกับงานที่ต้องอาศัยการตัดสินใจ งานที่วัดผลผลิตได้แน่นอน
- ผู้นำจะขาดมนุษย์สัมพันธ์ ทำให้มีปัญหาการปกครองคนและเกิดความขัดแย้งได้
2. ผู้นำที่มุ่่งความสัมพันธ์ :
- เน้นความต้องการของคน
- เคารพความคิดเห็นและความรู้สึกของลูกน้อง
- หัวหน้ากับลูกน้องมีความเข้าใจกัน และมีความอบอุ่น
- ทำให้เกิดความจงรักภักดี
- สามารถนำกลุ่มให้ไปถึงเป้าหมายได้
- เหมาะกับงานที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์
3.) ทฤษฎีแนวทางและเป้าหมาย คล้ายทฤษฎีตามแบบฉบับแต่ปรับปรุงให้เหมาะสมยิ่งขึ้น คือ
แนวทาง เปรียบเสมือนกลไกหรือสิ่งชักจูงที่ผู้นำใช้กับลูกน้อง เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย(มุ่งงาน)
รางวัลหรือผลตอบแทนของการจูงใจ เป็นส่วนที่สร้างความพึงพอใจให้กับสมาชิก (มุ่งความสัมพันธ์)
4.) ทฤษฎีตามสถานการณ์
ทฤษฎีนี้แบบของการบริหารที่เหมาะสมจะขึ้นกับลูกน้อง เพราะว่า หัวหน้าเป็นผู้สั่งการ ประสานงานและติดตามดูแลลูกน้องให้ดำเนินการ
ในการทำงานจะเจอปัญหาความเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ เช่น โครงสร้างงานเทคโนโลยี สภาพแวดล้อม ที่สำคัญคือบุคลิกภาพของลูกน้อง ทำให้ไม่สามารถเอาทฤษฎีแบบฉบับมาใช้กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ทุกสถานการณ์ไป
- ระเบียบวิธีการปฏิบัติ และวิธีการสื่อสาร มุ่งความสำเร็จตามเป้าหมาย
- เน้นทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมาย โดยเน้นความสัมพันธ์ของหัวหน้าและลูกน้อง
- เหมาะกับงานที่ต้องอาศัยการตัดสินใจ งานที่วัดผลผลิตได้แน่นอน
- ผู้นำจะขาดมนุษย์สัมพันธ์ ทำให้มีปัญหาการปกครองคนและเกิดความขัดแย้งได้
2. ผู้นำที่มุ่่งความสัมพันธ์ :
- เน้นความต้องการของคน
- เคารพความคิดเห็นและความรู้สึกของลูกน้อง
- หัวหน้ากับลูกน้องมีความเข้าใจกัน และมีความอบอุ่น
- ทำให้เกิดความจงรักภักดี
- สามารถนำกลุ่มให้ไปถึงเป้าหมายได้
- เหมาะกับงานที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์
3.) ทฤษฎีแนวทางและเป้าหมาย คล้ายทฤษฎีตามแบบฉบับแต่ปรับปรุงให้เหมาะสมยิ่งขึ้น คือ
แนวทาง เปรียบเสมือนกลไกหรือสิ่งชักจูงที่ผู้นำใช้กับลูกน้อง เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย(มุ่งงาน)
รางวัลหรือผลตอบแทนของการจูงใจ เป็นส่วนที่สร้างความพึงพอใจให้กับสมาชิก (มุ่งความสัมพันธ์)
4.) ทฤษฎีตามสถานการณ์
ทฤษฎีนี้แบบของการบริหารที่เหมาะสมจะขึ้นกับลูกน้อง เพราะว่า หัวหน้าเป็นผู้สั่งการ ประสานงานและติดตามดูแลลูกน้องให้ดำเนินการ
ในการทำงานจะเจอปัญหาความเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ เช่น โครงสร้างงานเทคโนโลยี สภาพแวดล้อม ที่สำคัญคือบุคลิกภาพของลูกน้อง ทำให้ไม่สามารถเอาทฤษฎีแบบฉบับมาใช้กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ทุกสถานการณ์ไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น